วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2558

การทำบุญ!


บุญ ความหมายตามพจนานุกรมพุทธศาสน์ของพระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) กล่าวว่า บุญคือเครื่องชำระสันดาน ความดี กุศล ความสุข ความประพฤติชอบทางกาย วาจา และใจ กุศลธรรม
บารมี คือ คุณความดีที่บำเพ็ญอย่างยิ่งยวด เพื่อบรรลุจุดหมายอันสูงยิ่ง วีธีสร้างบุญบารมีในพระพุทธศาสนามีอยู่ 3 ขั้นตอน คือการให้ทาน การถือศีล และการเจริญภาวนา ที่นิยมเรียกกันว่า "ทาน ศีล ภาวนา" ซึ่งการให้ทานหรือการทำทานนั้น เป็นการสร้างบุญที่ต่ำที่สุด ได้บุญน้อยที่สุด ไม่ว่าจะทำมากอย่างไรก็ไม่มีทางที่จะได้บุญมากไปกว่าการถือศีลไปได้ การถือศีลนั้นแม้จะมากอย่างไร ก็ไม่มีทางที่จะได้บุญมากเกินไปกว่าการเจริญภาวนาไปได้ ฉะนั้น การเจริญภาวนานั้น จึงเป็นการสร้างบุญบารมีที่สูงที่สุด ได้มากที่สุด
การทำสมาธิ
การทำสมาธิ ไม่ต้องคอยให้ใจสงบ สามารถทำได้ทุกที่ ทุกเวลา แต่ถ้าต้องการความต่อเนื่องยาวนาน และให้ได้ผลการปฏิบัติที่ดีนั้น มีหลักการเบื้องต้นและขั้นตอนดังนี้
1. บริโภคน้ำอาหารมิให้อิ่มไป หิวไป ถ่ายท้อง แปรงฟัน อาบน้ำ เช็ดตัว ให้เรียบร้อย เตรียมร่างกายให้สะอาด นุ่งชุดที่ไม่คับตัว ผ้าเบาๆ สบายๆ
2. หามุมสงบ ไม่เสียงดัง ไม่อึกทึก ไม่มีการรบกวนจากภายนอกได้ง่าย มีอุณหภูมิพอดี ๆ ที่นั่งที่รู้สึกสบายกับเรา เช่น อายุมากเข่าไม่ดีอาจนั่งบนเก้าอี้ก็ได้
3. นั่งขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย หรือวางมือตามสะดวกที่อื่นๆ จะเป็นที่หน้าตักก็ได้ บนเข่าก็ได้ ถ้าบนเข่าอาจหงายหรือคว่ำมือก็ได้
4. หลับตาเบาๆ ให้ขนตาชนกัน แต่อย่าเม้มตา
5. ขยับท่าทางให้รู้สึกว่าสบาย สังเกตตัวเองว่ามีการเกร็งไหม ถ้ามีขยับผ่อนคลายความรู้สึกไม่ให้เกร็ง
6. ทำใจให้โล่ง โปร่ง เบา สบาย ปล่อยวางสิ่งต่างๆ ในใจ ละปริโพธ หรือความกังวลต่าง ๆ ชั่วคราว อาจตั้งกำหนดเวลาในใจ ว่าจะอุทิศให้เวลาระหว่างนี้แก่การภาวนา ทำใจให้มีความสุขเพราะแค่เราอยากมีความสุข จิตเราก็จะมีความสุขทันที ทำใจให้สนุกกับการปฏิบัติธรรม
7. เมื่อสบายดีแล้ว ให้ภาวนาในใจ จะใช้ความรู้สึกจับกับลมหายใจ หายใจเข้าสั้นก็รู้ หายใจออกสั้นก็รู้ หายใจเข้ายาวก็รู้ หายใจออกยาวก็รู้ โดยไม่ต้องใช้คำบริกรรมก็ได้ จะใช้คำบริกรรมว่า ว่า พุท เมื่อหายใจออกให้กำหนดว่า โธ ก็ได้ หรือจะใช้คำบริกรรมอื่นๆ เช่น นับ 1,2,3 .. ไปเรื่อยๆ เมื่อหายใจเข้าออกครั้งหนึ่ง หรือ นะมะ-พะธะ ก็ได้เช่นกัน (วิธีการเหล่านี้ เป็นวิธีการของโบราณจารย์)
8. ในระหว่างการปฏิบัติธรรม อาจจะมีเรื่องฟุ้งซ่านเข้ามาเป็นระยะ อย่าสนใจ ถ้าจิตวอกแวกจนสนใจเรื่องอื่น เมื่อได้สติ ให้เริ่มภาวนาใหม่
9. อาจรู้สึกเมื่อย คัน ปวด ให้อดทน ถ้าทนไม่ไหวให้เปลี่ยนอิริยาบถแก้ เช่นเกาที่คัน แต่ให้ทำอย่างมีสติ เช่น ภาวนาว่า เมื่อยหนอๆ คันหนอๆ เกาหนอๆ ซึ่งถ้าจะลุกมาเดินจงกรมจนกว่าจะหายเวทนาก็ได้
10. เมื่อใจเริ่มสงบดีแล้ว จิตกำลังผ่านขณิกสมาธิ กำลังย่างเข้าอุปจารสมาธิ อาจจะมีความรู้สึกแปลกๆ มีอาการต่างๆกันไปตามสภาวะจิต ของแต่ละคน เช่นตัวหมุน ตัวเบา สั่น ขนลุกและอื่นๆ ก็ให้วางเฉยไปตั้งใจภาวนาเรื่อยๆ
11. เมื่อจิตเป็นสมาธิมากขึ้น คำภาวนาจะหายไป ให้กำหนดสภาวะที่รับรู้ได้เด่นชัดในจิต แล้วให้จิตไปจับไว้แทน เช่น ลมหายใจ
12. เมื่อจิตมีสมาธิกล้าขึ้นจิตจะนิ่งสงบเหมือนผิวน้ำที่ไร้คลื่น จิตจะกำหนดอะไรเป็นองค์ภาวนาไม่ได้ชั่วคราว เราอาจจะตกใจว่าไม่มีอะไรให้กำหนดได้อาจหลุดจากสมาธิ ให้พิจารณาว่า สภาวะที่กำหนดอะไรมิได้ เป็น ธรรมชาติ คือเป็นความจริงให้กำหนดความจริงนี้แทน
13. เมื่อทรงอารมณ์ไว้ได้อุคคหนิมิตจะเกิดขึ้น เหมือนน้ำนิ่งจะเห็นก้นสระ จิตจะเห็นภาพสัญญาที่เก็บในภวังคจิต (จิตใต้สำนึก) คือ อารมณ์ภาวนาที่กำหนดไว้ชัดขึ้นในจิต
14. เมื่อใจนิ่งได้ระดับนึง จะเริ่มเห็นความสว่างจากภายใน เป็นการเห็นด้วยใจ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อันให้เกิดความเชื่อทางพุทธศาสนาต่างๆ เช่น เห็นสิ่งลี้ลับ กายทิพย์ต่างๆ หรือมีภาพ ให้เห็นเป็นเรื่องราวต่างๆ เช่นในอดีต หรือชาติที่แล้วมา หรือเหตุการณ์ในอนาคต ให้ทำใจเฉยๆอย่างเดียว หากมีข้อสงสัย หรือมีคำถาม มีสิ่งผิดปกติอะไรก็ช่าง ก็ให้บอกตัวเองว่า คิดไปเอง เพราะเราไม่อาจทราบได้ว่านิมิตรนั้นจริงเท็จเพียงใด จงอย่าสนใจให้ทำสมาธิต่อไป เพราะแม้จะจริงก็จะทำให้เราล่าช้า ถ้าไม่จริงอาจทำเราเป็นมิจฉาทิฏฐิ หรือ อาจเสียสติได้ ถ้าคุมจิตมิได้ก็ให้แผ่เมตตาแก่เจ้ากรรมนายเวร
15. เมื่อจิตเข้าสู่อัปปนาสมาธิจะเห็นปฏิภาคนิมิตร แต่ถ้ากำหนดอานาปานสติ และวิปัสสนา จะเห็นขันธ์ 5 เกิดดับขึ้น ให้ระวังวิปัสสนูปกิเลส ถ้าผ่านไปได้ก็จะทำลายวิปลาสต่างๆ และบรรลุฌาน (ถ้าเน้นสมถกรรมฐาน) หรือญาน (ถ้าเน้นวิปัสสนา) ตามลำดับ ข้อแนะนำ คือ ต้องทำให้สม่ำเสมอเป็นประจำ ทำเรื่อยๆ อย่างสบายๆ ไม่เร่ง ไม่บังคับ ทำได้แค่ไหนให้พอใจแค่นั้น ซึ่งเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดความอยากจนเกินไป จนถึงกับทำให้ใจต้องสูญเสียความเป็นกลาง

ประโยชน์จากการฝึกสมาธิ
1.ส่งผลให้จิตใจผู้ทำสมาธิผ่องใส สะอาด บริสุทธิ์ สงบ จึงช่วยให้หลับสบายคลายกังวล ไม่ฝันร้าย
2.ช่วยพัฒนาให้มีบุคลิกภาพดีขึ้น กระปรี้กระเปร่า สง่าผ่าเผย มีความเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น รู้สึกควบคุมอารมณ์ จิตใจได้ดีขึ้น เหมาะสมกับกาลเทศะ
3.ผู้ฝึกสมาธิบ่อย ๆ จะมีความจำดีขึ้น มีการพินิจพิจารณาในเรื่องต่าง ๆ รอบคอบมากขึ้น ทำให้เกิดปัญญาในการทำสิ่งใด ๆ ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการเล่าเรียน และการทำงานดีขึ้น
4.ช่วยคลายเครียด และลดความเครียดที่จะเข้ามากระทบจิตใจได้ เมื่อเราไม่เครียด ร่างกายก็จะหลั่งสารทำให้เกิดความสุข ทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง เพราะมีภูมิต้านทานเชื้อโรค และยังช่วยชะลอความแก่ได้ด้วย
5.ทำให้จิตใจอ่อนโยนขึ้น เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เกิดความประพฤติดีทั้งทางกาย วาจา และจิตใจ
6.ระงับอารมณ์โมโห อารมณ์ร้ายต่าง ๆ ได้ เพราะการฝึกสมาธิช่วยให้จิตสงบนิ่งมากขึ้น และเมื่อจิตสงบนิ่งแล้วจะมีพลังยับยั้งการกระทำทางกาย วาจา ใจได้
7.มีการศึกษาพบว่า ผู้ที่มีจิตเป็นสมาธิจะมีความดันอัตราการหายใจลดลง หัวใจเต้นช้าลง คลื่นสมองช้าและเป็นระเบียบขึ้น การเผาผลาญอาหารในร่างกายลดลง ความตึงตัวของกล้ามเนื้อลดลง ส่งผลให้มีสุขภาพดี และช่วยบำบัดโรคได้ โดยเฉพาะหากปฏิบัติร่วมกับการออกกำลังกาย


ท่าน ว.วชิรเมธีกับการทำบุญ



...สุพรรณบุรี...

         จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคกลางของประเทศไทย ห่างจากกรุงเทพมหานคร 107 กิโลเมตร จังหวัดที่อยู่ติดกัน (จากทิศเหนือ วนตามเข็มนาฬิกา) ได้แก่ อุทัยธานี ชัยนาทสิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา นครปฐม และกาญจนบุรี

ประวัติ

พระพุทธรูปวัดป่าเลไลยก์

สุพรรณบุรีเป็นเมืองโบราณ พบหลักฐานทางโบราณคดีมีอายุไม่ต่ำกว่า 3,500-3,800 ปี โบราณวัตถุที่ขุดพบมีทั้งยุคหินใหม่ ยุคสำริด ยุคเหล็ก และสืบทอดวัฒนธรรมต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยสุวรรณภูมิ ฟูนัน อมราวดี ทวารวดี และศรีวิชัย สุพรรณบุรีเดิมมีชื่อว่า ทวารวดีศรีสุพรรณภูมิ หรือ พันธุมบุรี ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำท่าจีน แถบ บริเวณตำบลรั้วใหญ่ไปจดตำบลพิหารแดง ต่อมาพระเจ้ากาแตได้ย้ายเมืองมาตั้งอยู่ที่ฝั่งขวาของแม่น้ำ แล้วโปรดให้มอญน้อยไปสร้างวัดสนามชัย และบูรณะวัดป่าเลไลยก์ ชักชวนให้ข้าราชการจำนวน 2,000 คนบวช จึงขนานนามเมืองใหม่ว่า สองพันบุรี ครั้งถึงสมัยพระเจ้าอู่ทอง ได้สร้างเมืองมาทางฝั่งใต้หรือทางตะวันตกของแม่น้ำท่าจีน ชื่อเมืองเรียกว่า อู่ทอง จวบจนสมัยขุนหลวงพะงั่ว เมืองนี้จึงเรียกว่าชื่อว่า สุพรรณบุรี นับแต่นั้นมา
ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เมืองสุพรรณบุรีเป็นเมืองหน้าด่านและเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำที่สำคัญ ต้องผ่านศึกสงครามหลายต่อหลายครั้ง สภาพเมืองตลอดจนโบราณสถานถูกทำลายเหลือเพียงซากปรักหักพัง จนกระทั่งถึงสมัยรัตนโกสินทร์ เมืองสุพรรณบุรีได้ฟื้นตัวขึ้นใหม่ และตั้งอยู่บนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำท่าจีน (ลำน้ำสุพรรณ) มาจนตราบทุกวันนี้
ความสำคัญของสุพรรณบุรีในด้านประวัติศาสตร์การกอบกู้เอกราชไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้แก่ ชัยชนะแห่งสงครามยุทธหัตถีที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงมีชัยชนะเหนือพระมหาอุปราชา ณ สมรภูมิดอนเจดีย์ เป็นมหาวีรกรรมคชยุทธอันยิ่งใหญ่ที่ได้ถูกจารึกไว้ และมีการจัดงานเพื่อเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ทุกปี เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติ ในด้านวรรณคดี เป็นเมืองต้นกำเนิดแห่งตำนาน "ขุนช้างขุนแผนวรรณคดีไทยเรื่องราวและสถานที่ที่ปรากฏตามท้องเรื่องยังคงมีให้เห็นในปัจจุบัน อาทิ บ้านรั้วใหญ่ วัดเขาใหญ่ ท่าสิบเบี้ย ไร่ฝ้าย วัดป่าเลไลยก์ วัดแค อำเภออู่ทอง และอำเภอศรีประจันต์
สุพรรณบุรี ดินแดนแห่งความอุดมสมบูรณ์บนพื้นที่ราบภาคกลางสืบสานความเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่อดีตเมื่อ พ.ศ. 1420 จากนามเดิมเมืองพันธุมบุรีในยุคทวารวดีตามหลักฐานทางโบราณคดีได้จารึกชื่อไว้ในพงศาวดารเหนือ และนาม "สุพรรณภูมิ" ปรากฏในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราชระบุว่าเป็นนครรัฐที่มีความสำคัญมาก่อนกรุงศรีอยุธยา เมื่อมีการสถาปนากรุงศรีอยุธยา เมืองสุพรรณบุรีจึงจัดอยู่ในฐานะเมืองลูกหลวงซึ่งเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำที่สำคัญอีกด้วย

5 อันดับสถานที่ที่ท่องเที่ยวในสุพรรณบุรี

1. บึงฉวากเฉลิมพระเกียรติ สุพรรณบุรีข้อมูลเบื้องต้น : บึงธรรมชาติขนาดใหญ่ที่โอบล้อมด้วยธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ในพื้นที่กว่า2,000ไร่ ประกอบด้วยเขตห้ามล่าสัตว์ป่า, สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำ, สวรรค์แห่งโลกใต้ท้องทะเล (อุโมงค์ปลา), สวนสัตว์ และอุทยานผักพื้นบ้านเฉลิมพระเกียรติ  เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ร่มรื่น อากาศดี  มีกิจกรรมเรียนรู้ให้เลือกเที่ยวชมมากมาย เหมาาะกับการท่องเที่ยวพักผ่อนเป็นครอบครัว  โดยภายในบึงฉวากมีบริการที่พักแบบรีสอร์ตและร้านอาหารที่ตั้ง :  อ.เดิมบางนางบวช  จ.สุพรรณบุรีวันเวลาเปิดทำการ  : เปิดทุกวัน 8.00น. - 16.30น.การเดินทาง :  จากตัวเมืองสุพรรณบุรี ตรงมาตามทางหลวงหมายเลข340 มุ่งหน้าสู่จังหวัดชัยนาท  ระยะทางประมาณ60กม.ไฮไลท์ PaiNaiDii ขอบอก :  หาก มาเที่ยวชมในวันเสาร์ - อาทิตย์ ไม่ควรพลาดการชมการแสดงให้อาหารปลาฉลามที่อุโมงค์ปลา  นอกจากนั้น ในพื้นที่เขตสวนสัตว์ยังมีเกาะเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยกระต่ายตัวน้อยๆ หลากหลายสายพันธุ์ นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมและให้อาหารได้
2. ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรี (มังกรสวรรค์)  สุพรรณบุรีข้อมูล :  ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง-มังกรสวรรค์ สถานที่เคารพของชาวไทยเชื้อสายจีน เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ผู้คนต้องแวะเวียนมากราบไหว้ขอพร ที่ซึ่งหลายคนเชื่อว่า หากได้มากราบไหว้แล้ว จะนำมาซึ่งโชคลาภ ความร่ำรวย ความสำเร็จ และความสุข และยังเป็นสถานที่ที่รวบรวมเรื่องราว รูปแบบ วิถีชีวิตของชนชาวจีน ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับชนชาวไทยเสมือนพี่กับน้อง เป็นสถานที่ที่สวยงามและแสดงถึงความภาคภูมิใจ ควรค่าแก่การแวะชมที่ตั้ง : ต.รั้วใหญ่ อ.เมืองสุพรรณ จ.สุพรรณบุรี 72000
โทรศัพท์ : 035-521690
เวลาเปิด-ปิด :  เปิดให้เข้าชมทุกวันพุธ  วันอาทิตย์ หยุดทุกวันจันทร์และวันอังคาร เปิดให้เข้าชมวันละ 7 รอบๆ ละประมาณ หนึ่งชั่วโมงกว่า รอบแรก เวลา 10.00 น.รอบสุดท้ายเวลา 16.00 น.การเดินทาง : ตั้งอยู่ภายในบริเวณศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรี ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำสุพรรณบุรี ให้ขับรถไปยังตำบลโคกช้าง อำเภอเดิมบางนางบวช กม.ที่ 164
ไฮไลท์ PaiNaiDii ขอบอก :  ศาลแห่งนี้ทุกๆ วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 7 จีนของทุกปี จะมีประเพณี "ทิ้งกระจาด"  ซึ่งเป็นพิธีกรรมของพุทธศาสนาลัทธิมหายาน ถือเป็นการจำเริญเมตตาแก่ดวงวิญญาณที่ล่วงลับไปแล้ว 

3.  สามชุกตลาดร้อยปี  สุพรรณบุรี  ข้อมูลเบื้องต้น : ตลาดเก่าแก่อายุกว่า 100 ปี ริมแม่น้ำท่าจีน เดิมเป็นศูนย์กลางทางการค้าที่สำคัญแห่งนึงของภาคกลาง มีชาวบ้านนำของป่าจากทิศตะวันตกมาค้าขายให้กับพ่อค้าที่เป็นชาวเรือ เรียกว่าเป็นแหล่งการค้าซึ่งมีสินค้าจากทุกสารทิศให้เลือกสรร จนเมื่อมีการตัดถนนทำให้ตลาดน้ำแห่งนี้ซบเซาลงไป จนกระทั่งเจ้าของที่ดินคิดจะรื้ออาคารตลาดเก่าลง ชาวบ้าน พ่อค้า และครูอาจารย์ที่เล็งเห็นคุณค่าของพิพิธภัณฑ์มีชีวิตแห่งนี้ ได้ร่วมมือกันจัดตั้งเป็นคณะกรรมการและได้ฟื้นฟูตลาดโบราณทรงคุณค่าแห่งนี้ ขึ้น จนกระทั่งได้รับรางวัล มรดกโลก ประเภทอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมแห่งเอเชียแปซิฟิก จากองค์การยูเนสโก ในปี2552 นับเป็นเกียรติยศสูงสุดที่ชาวสุพรรณบุรีและชาวสามชุกภาคภูมิใจที่ตั้ง : โครงการพัฒนาตลาดสามชุกเชิงอนุรักษ์ เริ่มจาก ซอย 1 ถึง ซอย 4 โดยมี ถนนเลียบนที (ริมแม่น้ำ) กับถนนมิตรสัมพันธ์ขนาบไว้ มีป้าย "ตลาดสามชุก" ด้านทิศเหนือและทิศใต้บนถนนมิตรสัมพันธ์เป็นตัวกำหนดขอบเขตในโครงการอนุรักษ์ฯ  ต.สามชุก  อ.สามชุก  จ.สุพรรณบุรีวันเวลาเปิดทำการ  : เปิดทุกวันการเดินทาง :  จากตัวเมืองสุพรรณบุรี ตรงมาตามทางหลวงหมายเลข34 0มุ่งหน้าสู่อำเภอสามชุก  เมื่อถึงแยกเข้าที่ว่าการอำเภอสามชุก เลี้ยวซ้ายตรงมาตามทาง เมื่อข้ามสะพานจะพบตลาดอยู่ทางซ้ายมือไฮไลท์ PaiNaiDii ขอบอก :สภาพอาคารบ้านเรือนในตลาดสามชุก  ที่โดดเด่นด้วยลวดลายฉลุไม้ที่เรียกว่าลายขนมปังขิง คือศิลปะตกแต่งอาคารไม้โบราณ ที่หาดูได้ยาก ซึ่งพบเห็นได้ตลอดแนวทางเดิน 2 ข้างทาง รวมถึงวิถีชีวิตและบรรยากาศภายในตลาดการค้าขายที่ยังคงรักษาวิถีแบบดั้งเดิม เช่นในอดีต  เป็นวัฒนธรรมที่สืบเนื่องจากอดีตบ่มเพาะมาเป็น 100 ปี
 4.วัดป่าเลไลย์ สุพรรณบุรี ข้อมูลเบื้องต้น : วัดเก่าแก่อายุราว 1,200 ปี  เป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อโตปางป่าเลไลยก์ พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองสุพรรณบุรี  ภายในองค์พระพุทธรูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ36 องค์ที่ตั้ง : ต.รั้วใหญ่  อ.เมือง  จ.สุพรรณบุรีการเดินทาง : ตั้งอยู่ในตัวเมืองสุพรรณบุรี ริมถนนเมืองแมนหรือทางหลวงหมายเลข321 ใกล้กับแยกตัดทางหลวงหมายเลข340
ไฮไลท์ PaiNaiDii ขอบอก :  วัดป่าเลไลย์ได้รับการกล่าวถึงในวรรณคดีเอกของไทยเรื่องขุนช้างขุนแผน ภายในวัดจึงมีทั้งภาพจิตรกรรมบอกเล่าเรื่องราวตอนต่างๆ ของขุนช้างขุนแผน รวมถึงเรือนขุนช้าง เรือนไทยขนาดใหญ่ที่แสดงให้เห็นถึงชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยภาคกลางในอดีต อีกด้วย~คลิกชมภาพเพิ่มเติมและอ่านรีวิว~

 5. อุทยานแห่งชาติพุเตย สุพรรณบุรีข้อมูลเบื้องต้น :  อุทยานแห่งชาติเพียงแห่งเดียวในจังหวัดสุพรรณบุรี ครอบคลุมพื้นที่ 198,422 ไร่ในอำเภอด่านช้าง ประกอบด้วยป่าที่สมบูรณ์ เทือกเขาสลับซับซ้อนมีความลาดชันมาก ถือเป็นป่าที่ให้กำเนิดต้นน้ำลำธารหลายสายสถานที่ท่องเที่ยวภายในพื้นที่อุทยานฯ ประกอบด้วย  ป่าสนสองใบ ที่ประกอบด้วยต้นสนสองใบตามธรรมชาติกว่า3,000ต้น, น้ำตกตะเพินคี่น้อย ซึ่งมีน้ำมากตลอดทั้งปี, น้ำตกตะเพินคี่ มีถ้ำหินปูนน้อยใหญ่มากมายซึ่งอยู่ระหว่างการสำรวจของทางอุทยาน, หมู่บ้านกะเหรี่ยงตะเพินคี่ ที่ยังคงวิถีชีวิตเรียบง่ายตามธรรมชาติ ดังที่เคยเป็นมากว่า200ปี  ฯลฯ  นอกจากนี้นักท่องเที่ยวยังสามารถกางเต้นท์เพื่อพักแรมได้ในบริเวณที่ทาง อุทยานกำหนดให้ที่ตั้ง : อ.ด่านช้าง  จ.สุพรรณบุรีการเดินทาง : จากตัวเมืองสุพรรณบุรี มาตามถนนมาลัยแมนหรือทางหลวงหมายเลข 321 จนกระทั่งบรรจบกับทางหลวงหมายเลข 322 เลี้ยวขวามุ่งหน้าสู่นครสวรรค์ ระยะทางประมาณ7 กม. ถึงทางแยกท่าเสด็จ ตรงไปเข้าทางหลวงหมายเลข3460 ระยะทางประมาณ 12 กม. จนบรรจบกับทางหลวงหมายเลข 333 เลี้ยวขวามุ่งหน้าสู่นครสวรรค์  ระยะทางประมาณ 60 กม. จะพบทางแยกซ้ายเข้าสู่ที่ทำการอุทยานฯไฮไลท์ PaiNaiDii ขอบอก : บริเวณยอดเขาที่สูงที่สุดในอุทยาน คือ ยอดเขาเทวดา ซึ่งสูงกว่าระดับน้ำทะเล 1,123 เมตร เป็นจุดชมทะเลหมอกที่ใกล้กรุงเทพฯมากที่สุด โดยช่วงฤดูหนาวจะมีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ5-10องศา สามารถชมทะเลหมอกยามเช้าได้ทุกวัน 

ประเทศในอาเซียน

1.ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม (Brunei Darussalam)
2.ประเทศกัมพูชา (Cambodia)
3.ประเทศอินโดนีเซีย (Indonesia)
4.ประเทศลาว (Laos)
5.ประเทศมาเลเซีย (Malaysia)
6.ประเทศเมียนมาร์ หรือพม่า (Myanmar)
7.ประเทศฟิลิปปินส์ (Philippines)
8.ประเทศสิงคโปร์ (Singapore)
9.ประเทศเวียดนาม (Vietnam)
10.ประเทศไทย (Thailand)

1 ความคิดเห็น:

Translate